วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

ฟังก์ชัน

      
ความหมายของฟังก์ชัน
     ฟังก์ชัน
 คือ ความสัมพันธ์ซึ่งในสองคู่อันดับใดๆ ของความสัมพันธ์นั้น ถ้าสมาชิกตัวหน้าเหมือนกันแล้ว 

สมาชิกตัวหลังต้องไม่ต่างกัน

      นั่นคือ
      ถ้า (x1,y1) ∈ r และ (x1,y2) ∈ r แล้ว y1y2
      หลักในการพิจารณาว่าความสัมพันธ์เป็นฟังก์ชันหรือไม่
      1. ถ้าความสัมพันธ์นั้นอยู่ในรูปแจกแจงสมาชิก ให้ดูว่าสมาชิกตัวหน้าของคู่อันดับซ้ำกันหรือไม่ ถ้าสมาชิก
ตัวหน้าของคู่อันดับซ้ำกัน แสดงว่าความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นฟังก์ชัน
      2. ถ้าความสัมพันธ์นั้นอยู่ในรูปของการกำหนดเงื่อนไขสมาชิก
          r = {(x,y) ∈ A× B | P(x,y) } ให้แทนค่าแต่ละสมาชิกของ x ลงในเงื่อนไข P(x,y) เพื่อหาค่า y ถ้ามี 
x ตัวใดที่ให้ค่า y มากกว่า 1 ค่า แสดงว่าความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นฟังก์ชัน
      3. พิจารณาจากกราฟของความสัมพันธ์ โดยการลากเส้นตรงขนานกับแกน y ถ้าเส้นตรงดังกล่าวตัดกราฟ
ของความสัมพันธ์มากกว่า 1 จุด แสดงว่าความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นฟังก์ชัน

ฟังก์ชันจาก A ไป B

• ฟังก์ชันจาก A ไป B
         f เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันที่มีโดเมนคือเซต A และเรนจ์เป็นสับเซตของเซต B เขียนแทนด้วย f : A → B
• ฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B
         f เป็นฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันที่มีโดเมนเป็นเซต A และเรนจ์เป็นของเซต B เขียนแทนด้วย f : A  B
• ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B
         f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B ซึ่งถ้า y ∈ R f
แล้วมี x ∈ Df เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ทำให้ (x,y) ∈ f เขียนแทนด้วย f : B
         หรืออาจกล่าวอย่างง่ายๆได้ว่า f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง ก็ต่อเมื่อสำหรับ x1และ xในโดเมน ถ้า
f( x1) = f( x2) แล้ว x
x2
• ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด
ให้ f เป็นฟังก์ชันจากสับเซตของ R× R และ A ⊂ Df
♦ f เป็นฟังก์ชันเพิ่มใน A ก็ต่อเมื่อ สำหรับสมาชิก xและ xใดๆ ใน A

ถ้า x< xแล้ว f( x1) < f( x2)


♦ f เป็นฟังก์ชันลดใน A ก็ต่อเมื่อ สำหรับสมาชิก xและ xใดๆ ใน A

ถ้า x< xแล้ว f( x1) > f( x2)


ฟังก์ชันที่ควรรู้จักร

• ฟังก์ชันเชิงเส้น (linear function)
กราฟของฟังก์ชันเชิงเส้นจะมีลักษณะเป็นเส้นตรง
a < 0a = 0a > 0
• ฟังก์ชันขั้นบันได (step function)
กราฟของฟังก์ชันนี้จะมีรูปร่างคล้ายขั้นบันได
• ฟังก์ชันกำลังสอง (quadratic function)
กราฟของฟังก์ชันกำลังสองจะมีลักษณะเป็นรูปพาราโบลา
• ฟังก์ชันพหุนาม (polynomial function)
• ฟังก์ชันตรรกยะ (rational function)
• ฟังก์ชันที่เป็นคาบ (periodic function)
            f เป็นฟังก์ชันที่เป็นคาบ ก็ต่อเมื่อ มีำจำนวนจริง p ที่ทำให้ f(x+p) = f(x) สำหรับ ทุกค่าของ x และ x+p ที่อยู่ในโดเมนของ f
ฟังก์ชันอินเวิอร์ส
      เนื่องจากฟังก์ชัน คือ รูปแบบหนึ่งของความสัมพันธ์ ดังนั้น การหาอินเวอร์สของฟังก์ชันจึงหาได้ เช่นเดียวกับการหาอินเวอร์สของความสัมพันธ์ เพียงแต่อินเวอร์สของฟังก์ชันไม่จำเป็นต้องเป็นฟังก์ชันเสมอไป
ตัวอย่างเช่นกำหนดf = {(1,2) ,(2,3) ,(3,4)}
f-1 = {(2,1) ,(3,2) ,(4,3)} เป็นฟังก์ชัน
กำหนดg= {(1,2) ,(2,3) ,(4,2)}
g-1 = {(2,1) ,(3,2) ,(2,4)} ไม่ เป็นฟังก์ชัน
      เรียกอินเวอร์สของฟังก์ชันที่เป็นฟังก์ชันว่า "ฟังก์ชันอินเวอร์ส" จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า ฟังก์ชันที่จะมีฟังก์ชันอินเวอร์สได้ จะต้องเป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง
สมบัติของฟังก์ชันอินเวอร์ส
กำหนดให้ f เป็นฟังก์ชัน
1. f - 1 เป็นฟังก์ชัน เมื่อ f เป็นฟังก์ชัน 1-1
2. Df = R f - 1 และ Rf = D- 1


ฟังก์ชันคอมโพสิท (Composite Function)



            ให้ f และ g เป็นฟังก์ชัน และ R f ∩ Dg≠ Ø ฟังก์ชันคอมโพสิทของ f และ g เขียนแทนด้วย gof กำหนดโดย (gof)(x) = g(f(x)) สำหรับทุก x ซึ่ง f(x) ∈ Dg
ตัวอย่างที่ 1 ให้ f: A → B และ g : B → C ดังแสดงในแผนภาพ
f = {(1,5), (2,4), (3,6)} และ
g = {(4,7), (5,7), (6,8)}
(gof)(1)= g(f(1))= g(5)= 7
(gof)(2)= g(f(2))= g(4)= 7
(gof)(3)= g(f(3))= g(6)= 8
∴ gof= {(1,7), (2,7), (3,8)} และ Dgof = A
ข้อสังเกต     จากตัวอย่างที่ 1 จะเห็นว่าไม่มี fog เพราะ R f ∩ Dg
พีชคณิตของฟังก์ชัน (Agebra of Function)


            ให้ f และ g เป็นฟังก์ชัน และ R f ∩ Dg≠ Ø ฟังก์ชันคอมโพสิทของ f และ g เขียนแทนด้วย gof กำหนดโดย (gof)(x) = g(f(x)) สำหรับทุก x ซึ่ง f(x) ∈ Dg
ตัวอย่างที่ 1 ให้ f: A → B และ g : B → C ดังแสดงในแผนภาพ
f = {(1,5), (2,4), (3,6)} และ
g = {(4,7), (5,7), (6,8)}
(gof)(1)= g(f(1))= g(5)= 7
(gof)(2)= g(f(2))= g(4)= 7
(gof)(3)= g(f(3))= g(6)= 8
∴ gof= {(1,7), (2,7), (3,8)} และ Dgof = A
ข้อสังเกต     จากตัวอย่างที่ 1 จะเห็นว่าไม่มี fog เพราะ R f ∩ Dg


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น