3. พิจารณาจากกราฟของความสัมพันธ์ โดยการลากเส้นตรงขนานกับแกน y ถ้าเส้นตรงดังกล่าวตัดกราฟ
ของความสัมพันธ์มากกว่า 1 จุด แสดงว่าความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นฟังก์ชัน
ฟังก์ชันจาก A ไป B
• ฟังก์ชันจาก A ไป B |
f เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันที่มีโดเมนคือเซต A และเรนจ์เป็นสับเซตของเซต B เขียนแทนด้วย f : A → B |
• ฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B |
f เป็นฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันที่มีโดเมนเป็นเซต A และเรนจ์เป็นของเซต B เขียนแทนด้วย f : A B |
• ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B |
f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B ซึ่งถ้า y ∈ R f
แล้วมี x ∈ Df เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ทำให้ (x,y) ∈ f เขียนแทนด้วย f : B
หรืออาจกล่าวอย่างง่ายๆได้ว่า f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง ก็ต่อเมื่อสำหรับ x1และ x2 ในโดเมน ถ้า
f( x1) = f( x2) แล้ว x1 = x2 |
• ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด |
| ให้ f เป็นฟังก์ชันจากสับเซตของ R× R และ A ⊂ Df |
| ♦ f เป็นฟังก์ชันเพิ่มใน A ก็ต่อเมื่อ สำหรับสมาชิก x1 และ x2 ใดๆ ใน A
|
|
ถ้า x1 < x2 แล้ว f( x1) < f( x2) |
|
|
♦ f เป็นฟังก์ชันลดใน A ก็ต่อเมื่อ สำหรับสมาชิก x1 และ x2 ใดๆ ใน A
|
|
ถ้า x1 < x2 แล้ว f( x1) > f( x2) |
|
ฟังก์ชันที่ควรรู้จักร
• ฟังก์ชันเชิงเส้น (linear function) |
|
กราฟของฟังก์ชันเชิงเส้นจะมีลักษณะเป็นเส้นตรง |
|
• ฟังก์ชันขั้นบันได (step function) |
|
กราฟของฟังก์ชันนี้จะมีรูปร่างคล้ายขั้นบันได |
|
• ฟังก์ชันกำลังสอง (quadratic function) |
|
กราฟของฟังก์ชันกำลังสองจะมีลักษณะเป็นรูปพาราโบลา |
|
• ฟังก์ชันพหุนาม (polynomial function) |
|
• ฟังก์ชันตรรกยะ (rational function) |
|
• ฟังก์ชันที่เป็นคาบ (periodic function) |
f เป็นฟังก์ชันที่เป็นคาบ ก็ต่อเมื่อ มีำจำนวนจริง p ที่ทำให้ f(x+p) = f(x) สำหรับ ทุกค่าของ x และ x+p ที่อยู่ในโดเมนของ f |
| |
ฟังก์ชันอินเวิอร์ส
เนื่องจากฟังก์ชัน คือ รูปแบบหนึ่งของความสัมพันธ์ ดังนั้น การหาอินเวอร์สของฟังก์ชันจึงหาได้ เช่นเดียวกับการหาอินเวอร์สของความสัมพันธ์ เพียงแต่อินเวอร์สของฟังก์ชันไม่จำเป็นต้องเป็นฟังก์ชันเสมอไป |
| ตัวอย่างเช่น | กำหนด | f = {(1,2) ,(2,3) ,(3,4)} |
| | ∴ | f-1 = {(2,1) ,(3,2) ,(4,3)} เป็นฟังก์ชัน |
| | กำหนด | g= {(1,2) ,(2,3) ,(4,2)} |
| | ∴ | g-1 = {(2,1) ,(3,2) ,(2,4)} ไม่ เป็นฟังก์ชัน |
เรียกอินเวอร์สของฟังก์ชันที่เป็นฟังก์ชันว่า "ฟังก์ชันอินเวอร์ส" จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า ฟังก์ชันที่จะมีฟังก์ชันอินเวอร์สได้ จะต้องเป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง |
| สมบัติของฟังก์ชันอินเวอร์ส |
|
| กำหนดให้ f เป็นฟังก์ชัน |
| 1. f - 1 เป็นฟังก์ชัน เมื่อ f เป็นฟังก์ชัน 1-1 |
| 2. Df = R f - 1 และ Rf = Df - 1 |
|
|
ฟังก์ชันคอมโพสิท (Composite Function)
ให้ f และ g เป็นฟังก์ชัน และ R f ∩ Dg≠ Ø ฟังก์ชันคอมโพสิทของ f และ g เขียนแทนด้วย gof กำหนดโดย (gof)(x) = g(f(x)) สำหรับทุก x ซึ่ง f(x) ∈ Dg |
| | | | | |
ตัวอย่างที่ 1 ให้ f: A → B และ g : B → C ดังแสดงในแผนภาพ |
|
| | f = {(1,5), (2,4), (3,6)} และ |
| | g = {(4,7), (5,7), (6,8)} |
| (gof)(1) | = g(f(1)) | = g(5) | = 7 | |
| (gof)(2) | = g(f(2)) | = g(4) | = 7 | |
| (gof)(3) | = g(f(3)) | = g(6) | = 8 | |
| ∴ gof | = {(1,7), (2,7), (3,8)} และ Dgof = A |
ข้อสังเกต | จากตัวอย่างที่ 1 จะเห็นว่าไม่มี fog เพราะ R f ∩ Dg=Ø |
| | | | | |
พีชคณิตของฟังก์ชัน (Agebra of Function)
ให้ f และ g เป็นฟังก์ชัน และ R f ∩ Dg≠ Ø ฟังก์ชันคอมโพสิทของ f และ g เขียนแทนด้วย gof กำหนดโดย (gof)(x) = g(f(x)) สำหรับทุก x ซึ่ง f(x) ∈ Dg |
| | | | | |
ตัวอย่างที่ 1 ให้ f: A → B และ g : B → C ดังแสดงในแผนภาพ |
|
| | f = {(1,5), (2,4), (3,6)} และ |
| | g = {(4,7), (5,7), (6,8)} |
| (gof)(1) | = g(f(1)) | = g(5) | = 7 | |
| (gof)(2) | = g(f(2)) | = g(4) | = 7 | |
| (gof)(3) | = g(f(3)) | = g(6) | = 8 | |
| ∴ gof | = {(1,7), (2,7), (3,8)} และ Dgof = A |
ข้อสังเกต | จากตัวอย่างที่ 1 จะเห็นว่าไม่มี fog เพราะ R f ∩ Dg=Ø |
| | | | | |
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น