วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

ระบบจำนวนจริง


ระบบจำนวนจริง
 ระบบจำนวนจริง
     จากแผนผังแสดงความสัมพันธ์ของจำนวนข้างต้น จะพบว่า ระบบจำนวนจริง จะประกอบไปด้วย
     1. จำนวนอตรรกยะ หมายถึง จำนวนที่ไม่สามารถเขียนให้อยู่ในรูปเศษส่วนของจำนวนเต็ม หรือทศนิยมซ้ำได้ ตัวอย่างเช่น √2 , √3, √5, -√2, - √3, -√5 หรือ ¶ ซึ่งมีค่า 3.14159265...
     2. จำนวนตรรกยะ หมายถึง จำนวนที่สามารถเขียนให้อยู่ในรูปเศษส่วนของจำนวนเต็มหรือทศนิยมซ้ำได้ ตัวอย่างเช่น
 เขียนแทนด้วย 0.5000...
 เขียนแทนด้วย 0.2000...
 
 
  
 ระบบจำนวนตรรกยะ
     จำนวนตรรกยะยังสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
     1. จำนวนตรรกยะที่ไม่ใช่จำนวนเต็ม หมายถึง จำนวนที่สามารถเขียนให้อยู่ในรูปเศษส่วนหรือทศนิยมซ้ำได้ แต่ไม่เป็นจำนวนเต็ม ตัวอย่างเช่น
     2. จำนวนเต็ม หมายถึง จำนวนที่เป็นสมาชิกของเซต I = {..., -4, -3, -2, -1, 0, 1, 2, 3, 4, ...} เมื่อกำหนดให้ I เป็นเซตของจำนวนเต็ม
   
 ระบบจำนวนเต็ม
     จำนวนเต็มยังสามารถแบ่งได้อีกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน
1. จำนวนเต็มลบ หมายถึง จำนวนที่เป็นสมาชิกของเซต I - โดยที่
          I - = {..., -4, -3, -2, -1}
เมื่อ I - เป็นเซตของจำนวนเต็มลบ
2. จำนวนเต็มศูนย์ (0)
3. จำนวนเต็มบวก หมายถึง จำนวนที่เป็นสมาชิกของเซต I+ โดยที่
         I+ = {1, 2, 3, 4, ...}
เมื่อ I+ เป็นเซตของจำนวนเต็มบวก
         จำนวนเต็มบวก เรียกได้อีกอย่างว่า "จำนวนนับ" ซึ่งเขียนแทนเซตของจำนวนนับได้ด้วยสัญลักษณ์ N โดยที่
                           N = I+ = {1, 2, 3, 4, ...}
 
 ระบบจำนวนเชิงซ้อน
     นอกจากระบบจำนวนจริงที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีจำนวนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งได้จากการแก้สมการต่อไปนี้
 x2 = -1∴ x = √-1 = i
 x2 = -2∴ x = √-2 = √2 i
 x2 = -3∴ x = √-3 = √3 i
     จะเห็นได้ว่า “ไม่สามารถจะหาจำนวนจริงใดที่ยกกำลังสองแล้วมีค่าเป็นลบ” เราเรียก √-1 หรือจำนวนอื่นๆ ในลักษณะนี้ว่า “จำนวนจินตภาพ”และเรียก i ว่า "หนึ่งหน่วยจินตภาพ" เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ i
     ยูเนียนของเซตจำนวนจริงกับเซตจำนวนจินตภาพ คือ " เซตจำนวนเชิงซ้อน " (Complex numbers)
  

สมบัติของจำนวนจริง
 สมบัติการเ่ท่ากันของจำนวนจริง
     กำหนด a, b, c เป็นจำนวนจริงใดๆ
     1. สมบัติการสะท้อน a = a
     2. สมบัติการสมมาตร ถ้า a = b แล้ว b = a
     3. สมบัติการถ่ายทอด ถ้า a = b และ b = c แล้ว a = c
     4. สมบัติการบวกด้วยจำนวนที่เท่ากัน  ถ้า a = b แล้ว a + c = b + c
     5. สมบัติการคูณด้วยจำนวนที่เท่ากัน ถ้า a = b แล้ว ac = bc
    
 สมบัติการบวกในระบบจำนวนจริง
     กำหนด a, b, c เป็นจำนวนจริงใดๆ
    1. สมบัติปิดการบวก a + b เป็นจำนวนจริง
    2. สมบัติการสลับที่ของการบวก a + b = b + c
    3. สมบัติการเปลี่ยนกลุ่มการบวก a + ( b + c) = ( a + b ) + c
    4. เอกลักษณ์การบวก 0 + a = a = a + 0
    นั่นคือ ในระบบจำนวนจริงจะมี 0 เป็นเอกลักษณ์การบวก
    5. อินเวอร์สการบวก a + ( -a ) = 0 = ( -a ) + a
    นั่นคือ ในระบบจำนวนจริง จำนวน a จะมี -a เป็นอินเวอร์สของการบวก
 
 สมบัติการคูณในระบบจำนวนจริง
กำหนดให้ a, b, c, เป็นจำนวนจริงใดๆ
     1. สมบัติปิดการคูณ ab เป็นจำนวนจริง
     2. สมบัติการสลับที่ของการคูณ ab = ba
     3. สมบัติการเปลี่ยนกลุ่มของการคูณ a(bc) = (ab)c
     4. เอกลักษณ์การคูณ 1 · a = a = a · 1
    นั่นคือในระบบจำนวนจริง มี 1 เป็นเอกลักษณ์การคูณ
    5. อินเวอร์สการคูณ a · a-1 = 1 = a · a-1, a ≠ 0
    นั่นคือ ในระบบจำนวนจริง จำนวนจริง a จะมี  a-1 เป็นอินเวอร์สการคูณ ยกเว้น 0
     6. สมบัติการแจกแจง
               a( b + c ) = ab + ac
               ( b + c )a = ba + ca
     จากสมบัติของระบบจำนวนจริงที่ได้กล่าวไปแล้ว สามารถนำมาพิสูจน์เป็นทฤษฎีบทต่างๆ ได้ดังนี้
  
ทฤษฎีบทที่ 1กฎการตัดออกสำหรับการบวก
 เมื่อ a, b, c เป็นจำนวนจริงใดๆ
 ถ้า a + c = b + c แล้ว a = b
 ถ้า a + b = a + c แล้ว b = c
  
ทฤษฎีบทที่ 2กฎการตัดออกสำหรับการคูณ
 เมื่อ a, b, c เป็นจำนวนจริงใดๆ
 ถ้า ac = bc และ c ≠ 0 แล้ว a = b
 ถ้า ab = ac และ a ≠ 0 แล้ว b = c
  
ทฤษฎีบทที่ 3เมื่อ a เป็นจำนวนจริงใดๆ
 a · 0 = 0
 0 · a = 0
  
ทฤษฎีบทที่ 4เมื่อ a เป็นจำนวนจริงใดๆ
 (-1)a = -a
 a(-1) = -a
  
ทฤษฎีบทที่ 5เมื่อ a, b เป็นจำนวนจริงใดๆ
 ถ้า ab = 0 แล้ว a = 0 หรือ b = 0
  
ทฤษฎีบทที่ 6เมื่อ a เป็นจำนวนจริงใดๆ
 a(-b) = -ab
 (-a)b = -ab
 (-a)(-b) = ab
  
      เราสามารถนิยามการลบและการหารจำนวนจริงได้โดยอาศัยสมบัติของการบวกและการคูณใน
ระบบจำนวนจริงที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
  
• การลบจำนวนจริง
  
บทนิยามเมื่อ a, b เป็นจำนวนจริงใดๆ
 a- b = a + (-b)
 นั่นคือ a - b คือ ผลบวกของ a กับอินเวอร์สการบวกของ b
  
• การหารจำนวนจริง
  
บทนิยามเมื่อ a, b เป็นจำนวนจริงใดๆ เมื่อ b ≠ 0
 
= a(b-1)
 
นั่นคือคือ ผลคูณของ a กับอินเวอร์สการคูณของ b

 การแก้สมการตัวแปรเดียว
บทนิยามสมการพหุนามตัวแปรเดียว คือ สมการที่อยู่ในรูป
 anxn + an-1xn-1 + an-2xn-2 + … + a1x + a0 = 0
 เมื่อ n เป็นจำนวนเต็มบวก และ an, an-1, an-2 ,..., a1, a0 เป็นจำนวนจริง ที่เป็นสัมประสิทธิ์ของพหุนาม โดยที่ an ≠ 0 เรียกสมการนี้ว่า "สมการพหุนามกำลัง n"
  
ตัวอย่างเช่น
x3 - 2x2 + 3x -4 = 0
 4x2 + 4x +1 = 0
 2x4 -5x3 -x2 +3x -1 = 0
  
• การแ้ก้สมการพหุนามเมื่อ n > 2
          สมการพหุนามกำลัง n ซึ่งอยู่ในรูป anxn + an-1xn-1 + an-2xn-2 + … + a1x + a0 = 0 เมื่อ n > 2 และ an, an-1, an-2 ,..., a1, a0 เป็นจำนวนจริง โดยที่ an ≠ 0 จะสามารถหาคำตอบของสมการพหุนามกำลัง n นี้ได้โดยใช้ทฤษฎีบทเศษเหลือช่วยในการแยกตัวประกอบ
  
ทฤษฎีบทเศษเหลือ
 เมื่อ f(x) = anxn + an-1xn-1 + an-2xn-2 + … + a1x + a0
 โดย n > 2 และ an, an-1, an-2 ,..., a1, a0 เป็นจำนวนจริง และ an ≠ 0
 ถ้าหารพหุนาม f(x) ด้วยพหุนาม x - c เมื่อ c เป็นค่าคงตัวใดๆแล้ว เศษของ
 การหารจะมีค่าเท่ากับ f(c)
 
นั่นคือ เศษของคือ f(c)
  
ทฤษฎีบทตัวประกอบ
 เมื่อ f(x) = anxn + an-1xn-1 + an-2xn-2 + … + a1x + a0
 โดย n > 2 และ an, an-1, an-2 ,..., a1, a0 เป็นจำนวนจริง และ an ≠ 0
 พหุนาม f(x) นี้จะมี x - c เป็นตัวประกอบ ก็ต่อเมื่อ f(c) = 0
 
ถ้า f(c) = 0 แล้วเศษของคือ 0
 แสดงว่า x - c หาร f(c) ได้ลงตัว
 นั่นคือ x - c เป็นตัวประกอบของ f(x)
  
ทฤษฎีบทตัวประกอบจำนวนตรรกยะ
 เมื่อ f(x) = anxn + an-1xn-1 + an-2xn-2 + … + a1x + a0
 โดย n > 2 และ an, an-1, an-2 ,..., a1, a0 เป็นจำนวนจริง และ an ≠ 0
 ถ้า x -เป็นตัวประกอบของพหุนามของ f(x) โดยที่ m และ k เป็นจำนวนเต็ม
 ซึ่ง m ≠ 0 และ ห.ร.ม. ของ m และ k เท่ากับ 1 แล้ว
 (1) m จะเป็นตัวประกอบของ an
 (2) k จะเป็นตัวประกอบของ a0
  
 ขั้นตอนการหาคำตอบของสมการโดยใช้ทฤษฎีบทเศษเหลือ มีดังนี้
       1. ถ้า an = 1 ให้หาตัวประกอบ c ของ a0 และตัวประกอบ m ของ aที่ทำให้
 f() = 0 ตามทฤษฎีบทตัวประกอบจำนวนตรรกยะ
 
      2. นำ x - c หรือ x -ที่หาได้ในข้อ 1. ไปหาร f(x) ผลหาร
 จะเป็นพหุนามที่มีดีกรีต่ำกว่าดีกรีของ f(x) อยู่ 1
       3. ถ้าผลหารในข้อ 2. ยังมีดีกรีสูงกว่า 2 ให้แยกตัวประกอบต่อไปอีก โดยใช้วิธีตามข้อ 1. และ 2.
-
ตัวอย่างที่ 1จงหาเซตคำตอบของสมการ x3 - 2x2 - x + 2= 0
วิธีทำให้ f(x) = x3 - 2x2 - x + 2
 ∴ f(1) = 1 - 2 -1 + 2 = 0
 ∴ x - 1 เป็นตัวประกอบของ f(x)
 
= x2 - x - 2
           x3 - 2x2 - x + 2 = (x-1)(x2 - x - 2)
                                    = (x-1)(x-2)(x+1)
 x3 - 2x2 - x + 2 = 0
 (x-1)(x-2)(x+1) = 0
                        x = 1, 2, -1
 ∴เซตคำตอบของสมการนี้คือ {-1, 1, 2}
ตัวอย่างที่ 2จงหาเซตคำตอบของสมการ x3 - 10x2 + 27x -18 = 0
วิธีทำให้ f(x) = x3 - 10x2 + 27x -18
 ∴ f(1) = 1 - 10 + 27 -18 = 0
 ∴ x - 1 เป็นตัวประกอบของ f(x)
 ∴ x3 - 10x2 + 27x -18 = (x-1)(x2 - 9x + 18)
                                     = (x-1)(x-3)(x-6)
 x3 - 10x2 + 27x -18 = 0
 (x - 1) (x - 3) (x - 6) = 0
                        x = 1, 3, 6
 ∴เซตคำตอบของสมการนี้คือ {1, 3, 6}

ตัวอย่างที่ 3จงหาเซตคำตอบของสมการ x3 - x2 - 5x -3 = 0
วิธีทำให้ f(x) = x3 - x2 - 5x -3
 ∴ f(3) = 33 -32 -5(3) - 3= 0
            = 27 - 9 - 15 - 3
            = 0
 ∴ x - 3 เป็นตัวประกอบของ f(x)
 ∴ x3 - x2 - 5x -3 = (x-3)(x2 + 2x + 1)
                            = (x-3)(x+1)(x+1)
 x3 - x2 - 5x - 3 = 0
 (x-3)(x+1)(x+1) = 0
                         x = 3, -1
 ∴เซตคำตอบของสมการนี้คือ {-1, 3}

ตัวอย่างที่ 4จงหาเซตคำตอบของสมการ 2x3 - 3x2 - 17x +30 = 0
วิธีทำให้ f(x) = 2x3 - 3x2 - 17x +30
 ∴ f(2) = 2(2)3 -3(2)2 -17(2) +30 = 0
            = 16 - 12 - 34 +30
            = 0
 ∴ x - 2 เป็นตัวประกอบของ f(x)
 ∴ 2x3 - 3x2 - 17x +30 = (x-2)(2x2 + x - 15)
                                      = (x-2)(2x - 5)(x+3)
 2x3 - 3x2 - 17x + 30 = 0
 (x - 2)(2x - 5)(x + 3) = 0
 
x =2,
, -3
 
∴เซตคำตอบของสมการนี้คือ {-3, 2,}

ตัวอย่างที่ 5จงหาเซตคำตอบของสมการ 6x3 + 11x2 - 4x - 4 = 0
วิธีทำให้ f(x) = 6x3 + 11x2 - 4x - 4
  ∴ f(-2) = 6(-2)3 -11(-2)2 -4(-2) - 4= 0
            = -48 + 44 + 8 - 4
            = 0
 ∴ x + 2 เป็นตัวประกอบของ f(x)
 ∴ 6x3 + 11x2 - 4x - 4 = (x+2)(6x2 - x - 2)
                                     = (x+2)(3x-2)(2x+1)
 6x3 + 11x2 - 4x - 4= 0
 (x +- 2)(3x - 2)(2x + 1) = 0
 
x = -2,
,
 
∴เซตคำตอบของสมการนี้คือ {-2,,}

สมบัติของการไม่เท่ากัน
บทนิยามa < b     หมายถึง    a น้อยกว่า b
 a > b     หมายถึง    a มากกว่า b
   
 สมบัติของการไม่เท่ากัน
 กำหนดให้ a, b, c เป็นจำนวนจริงใดๆ
 1.สมบัติการถ่ายทอด     ถ้า a > b และ b > c แล้ว a > c
 2.สมบัติการบวกด้วยจำนวนที่เท่ากัน ถ้า a > b แล้ว a + c > b+ c
 3.จำนวนจริงบวกและจำนวนจริงลบ
  a เป็นจำนวนจริงบวก ก็ต่อเมื่อ a > 0
  a เป็นจำนวนจริงลบ ก็ต่อเมื่อ a < 0
 4.สมบัติการคูณด้วยจำนวนเท่ากันที่ไม่เท่ากับศูนย์
  ถ้า a > b และ c > 0 แล้ว ac > bc
  ถ้า a > b และ c < 0 แล้ว ac < bc
 5.สมบัติการตัดออกสำหรับการบวก ถ้า a + c > b + c แล้ว a > b
 6.สมบัติการตัดออกสำหรับการคูณ
  ถ้า ac > bc และ c > 0 แล้ว a > b
  ถ้า ac > bc และ c < 0 แล้ว a < b
   
บทนิยาม
a ≤ bหมายถึงa น้อยกว่าหรือเท่ากับ b
a ≥ bหมายถึงa มากกว่าหรือเท่ากับ b
a < b < cหมายถึงa < b และ b < c
a ≤ b ≤ cหมายถึงa ≤ b และ b ≤ c
  
ช่วงของจำนวนจริง และการแก้อสมการ
• ช่วงของจำนวนจริง
 กำหนดให้ a, b เป็นจำนวนจริง และ a < b
 1. ช่วงเปิด (a, b)
            (a, b) = { x | a < x < b }
 
  
 2. ช่วงปิด [a, b]
            [a, b] = { x | a ≤ x ≤ b }
 
  
 3. ช่วงครึ่งเปิด (a, b]
           (a, b] = { x | a < x ≤ b }
 
  
 4. ช่วงครึ่งเปิด [a, b)
           [a, b) = { x | a ≤ x < b }
 
  
 5. ช่วง (a, ∞)
           (a, ∞) = { x | x > a}
 
  
 6. ช่วง [a, ∞)
           [a, ∞) = { x | x ≥ a}
 
  
 7. ช่วง (-∞, a)
          (-∞, a) = { x | x < a}
 
  
 8. ช่วง (-∞, a]
          (-∞, a] = { x | x ≤ a}
 
  
• การแก้อสมการ
      อสมการ คือ ประโยคสัญลักษณ์ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ของตัวแปร กับจำนวนใดๆ โดยใช้เครื่องหมาย ≠ , ≤ ,≥ , < , > , เป็นตัวระบุความสัมพันธ์ของตัวแปร และจำนวนดังกล่าว
      คำตอบของอสมการ คือ ค่าของตัวแปรที่ทำให้อสมการเป็นจริง
      เซตคำตอบของอสมการ คือ เซตของค่าตัวแปรทั้งหมดที่ทำให้อสมการเป็นจริง
  
 หลักในการแก้อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
 เราอาศัยสมบัติของการไม่เท่ากันในการแก้อสมการ เช่น
 1. สมบัติการบวกด้วยจำนวนที่เท่ากัน
      ถ้า a > b แล้ว a + c > b + c
 2. สมบัติการคูณด้วยจำนวนที่เท่ากัน
      ถ้า a > b และ c > 0 แล้ว ac > bc
      ถ้า a > b และ c < 0 แล้ว ac < bc

ตัวอย่างที่ 1จงหาเซตคำตอบของ x + 3 > 12
วิธีทำ                                         x + 3 > 12 
           ∴    x + 3 + (-3)>12 + (-3)  x > 9 
           ∴เซตคำตอบของอสมการนี้คือ (9, ∞)

ตัวอย่างที่ 2จงหาเซตคำตอบของ 2x + 1 < 9
วิธีทำ                                         2x + 1 < 9 
                             ∴       2x + 1 + (-1) < 9 + (-1)  
                                                       2x < 8 
(2x)
<
(8)
                                                                            x < 4 
                             ∴เซตคำตอบของอสมการนี้คือ (-∞, 4)

ตัวอย่างที่ 3จงหาเซตคำตอบของ 4x - 5 ≤ 2x + 5
วิธีทำ                                          4x - 5≤2x + 5  
                                            4x - 5 + 5≤2x + 5 + 5  
                                                        4x≤2x + 10  
                                                 4x - 2x≤2x + 10 - 2x  
                                                        2x≤10  
                          
(2x)
(10)


                                                                       x≤5 
               ∴เซตคำตอบของอสมการนี้คือ (-∞, 5]
 
 หลักในการแก้อสมการตัวแปรเดียวกำลังสอง
 กำหนดให้ a และ b เป็นจำนวนจริงใดๆ
 1. ถ้า ab = 0 แล้ว จะได้ a = 0 หรือ b = 0
 
2. ถ้า= 0 แล้ว จะได้ a = 0
 3. ถ้า ab > 0 แล้ว จะได้ a > 0 และ b > 0 หรือ a < 0 และ b < 0
 4. ถ้า ab < 0 แล้ว จะได้ a > 0 และ b < 0 หรือ a < 0 และ b > 0
 5. ถ้า ab ≥ 0 แล้ว จะได้ ab > 0 หรือ ab = 0
 6. ถ้า ab ≤ 0 แล้ว จะได้ ab < 0 หรือ ab = 0
 
7. ถ้า> 0 แล้ว จะได้ a > 0 และ b > 0 หรือ a < 0 และ b < 0
 
8. ถ้า< 0 แล้ว จะได้ a > 0 และ b < 0 หรือ a < 0 และ b > 0
 
9. ถ้า≥ 0 แล้ว จะได้> 0 หรือ= 0
 
10.
ถ้า
≤ 0 แล้ว จะได้< 0 หรือ= 0

ตัวอย่างที่ 4จงหาเซตคำตอบของ (x - 3)(x - 4) > 0
วิธีทำ ถ้า (x - 3)(x - 4)>0 แล้วจะได้
  x - 3>0 และ x - 4 > 0
  x>3 และ x > 4
 
 เมื่อ x - 3>0 และ x - 4 < 0 แล้วจะได้ x > 4
  หรือ x - 3<0 และ x - 4 < 0
  x<3 และ x < 4
 
 x - 3<0 และ x - 4 < 0 แล้วจะได้ x < 3
 นั่นคือ เซตคำตอบของ (x - 3)(x - 4) > 0 คือ
 { x | x < 3 หรือ x > 4 } = (-∞, 3 ) ∪ (4, ∞ )

ตัวอย่างที่ 5จงหาเซตคำตอบของ (x - 3)(x - 4) < 0
วิธีทำ ถ้า (x - 3)(x - 4)<0 แล้วจะได้
  x - 3>0 และ x - 4 < 0
  x>3 และ x < 4
 
 เมื่อ x - 3>0 และ x - 4 < 0 แล้วจะได้ 3 < x < 4
  หรือ x - 3<0 และ x - 4 > 0
  x<3 และ x > 4 ซึ่งเป็นไปไม่ได้
 
 ไม่มีจำนวนจริง x ที่สอดคล้องกับ x - 3 < 0 และ x - 4 > 0
 นั่นคือ เซตคำตอบของ (x - 3)(x - 4) < 0 คือ
 { x | 3 < x < 4 } = (3, 4)

จากตัวอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น สรุปเป็นหลักในการแก้อสมกาีได้ดังนี้
กำหนดให้ x, a, b เป็นจำนวนจริง และ a < b แล้ว
1. ถ้า (x - a)(x - b) > 0 จะได้ x < a หรือ x > b
2. ถ้า (x - a)(x - b) < 0 จะได้ a < x < b
3. ถ้า (x - a)(x - b) ≥ 0 จะได้ x ≤ a หรือ x ≥ b
4. ถ้า (x - a)(x - b) ≤ 0 จะได้ a ≤ x ≤ b
5. ถ้า> 0 จะได้ x < a หรือ x > b
6. ถ้า< 0 จะได้ a < x < b
7. ถ้า≥ 0 จะได้ x ≤ a หรือ x > b
8. ถ้า≤ 0 จะได้ a ≤ x < b
หรือ สามารถสรุปได้ดังตารางต่อไปนี้
 
ค่าสัมบูรณ์
บทนิยาม กำหนดให้ a เป็นจำนวนจริง
                       
 นั่นคือ ค่าสัมบูรณ์ของจำนวนจริงใดๆ ต้องมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับศูนย์เสมอ
 
• สมบัติของค่าสัมบูรณ์
 1. |x| = |-x|
 2. |xy| = |x||y|
 
3.=
 4. | x - y | = | y - x |
 5. |x|2 = x2
 6. | x + y | ≤ |x| +|y|
 7. เมื่อ a เป็นจำนวนจริงบวก
     |x| < a หมายถึง -a < x < a
     |x| ≤ a หมายถึง -a ≤ x ≤ a
 8. เมื่อ a เป็นจำนวนจริงบวก
     |x| > a หมายถึง x < -a หรือ x > a
     |x| ≥ a หมายถึง x ≤ -a หรือ x ≥ a
สัจพจน์ของความบริบูรณ์
     สัจพจน์ความบริบูรณ์ หรือสัจพจน์การมีค่าขอบเขตบนน้อยสุด (Least upper bound axiom)

บทนิยาม ถ้า S เป็นสับเซตของ R S จะมีขอบเขตบนก็ต่อเมื่อ มีจำนวนจริง a ที่ทำให้ x ≤ a สำหรับจำนวนจริง x ทุกตัวใน S เรียกจำนวนจริง a นี้ว่า "ขอบเขตบนของ S"  

บทนิยาม ถ้า S เป็นสับเซตของ R a จะเป็นขอบเขตบนน้อยสุดของ S ก็ต่อเมื่อ 1. a เป็นขอบเขตบนของ S 2. ถ้า b เป็นขอบเขตบนของ S แล้วจะได้ว่า a ≤ b  

 สัจพจน์การมีค่าขอบเขตบนน้อยสุด       ถ้า S เป็นสับเซตของ R โดยที่ S ≠ Ø และ S มีขอบเขตบนแล้ว S จะมีค่าขอบเขตบนน้อยสุด

ตัวอย่างที่ 1ให้ S เท่ากับช่วงปิด [1, 6] 
จะได้ว่า 6 และจำนวนจริงทุกตัวที่มากกว่า 6 เป็นขอบเขตบนของ S และขอบเขตบนน้อยสุดคือ 6

ตัวอย่างที่ 2ให้ S เท่ากับช่วงเปิด (2, 7) 
จะได้ว่า 7 และจำนวนจริงทุกตัวที่มากกว่า 7 เป็นขอบเขตบนของ S และขอบเขตบนน้อยสุดคือ 7

ตัวอย่างที่ 3ให้ S = {1, 0, 3, 5, 4} 
จะได้ว่า 5 และจำนวนจริงทุกตัวที่มากกว่า 5 เป็นขอบเขตบนของ S และขอบเขตบนน้อยสุดคือ 5 

ตัวอย่างที่ 4ให้ S = [-2, ∞] 
จะได้ว่า S ไม่มีขอบเขตบน

ตัวอย่างที่ 5ให้ S ≠ Ø จะได้ว่า จำนวนจริงทุกจำนวนเป็นค่าขอบเขตบนของ S ดังนั้นเซตว่างจึงไม่มีขอบเขตบนน้อยสุด